ชุ่มฉ่ำฤดูฝนที่วังน้ำเขียว
Tags:
เขาแผงม้า,
เขาใหญ่,
วังน้ำเขียว
อ่านทั้งหมด : 17341
ครั้ง โดย : aonmicro
เมื่อ : 2007-07-31 19:11:38
ตอนแรกคิดกันอยู่ว่าจะไปไหนดีในช่วงฤดูฝน โดยมีเวลาอยู่ 2 วัน 29-30 ก.ค 2550 ไปคราวนี้อยากไปพักผ่อนสบายๆ บรรยากาศดีๆ ความคิดแรกที่โผล่ขึ้นมาก็เป็นบ้านไร่ตับเต่าของพี่นก อยู่ตรงปากช่องใกล้ๆเขาใหญ่ เลยไปหน่อยก็จะเป็น อ.วังน้ำเขียว
เลยตกลงว่าไปพักที่ไร่ตับเต่า แล้วขับรถไปเที่ยวเส้นทางวังน้ำเขียว เราออกเดินทางกันตอนเช้าวันที่ 29 จาก ส.น.สุทธิสาร โดยใช้เส้นทาง รังสิต-สระบุรี-ปากช่อง ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเราก็มาถึงทางขึ้นเขาใหญ่ฝั่งปากช่อง เลี้ยวซ้ายไปอีก 40 กม. ก็จะถึง อ.วังน้ำเขียว
ช่วงนี้เค้ากำลังก่อสร้างถนนใหม่ตั้งแต่แยกทางขึ้น อช.เขาใหญ่ ถนนที่มุ่งหน้าไปวังน้ำเขียวยาวไปประมาณ 40 กม. แต่รถเก๋งก็ไปได้สบายแต่ฝุ่นจะเยอะหน่อย มีหินบดอยู่เต็มระหว่างทางเนื่องจากถนนกำลังจะลาดยาง ผมขับรถไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษ ตั้งใจว่าไปตั้งหลักที่วังน้ำเขียวก่อนแล้วก็แวะรายทางมาจนถึงที่พักที่ไร่ตับเต่า ผมวิ่งยาวไปถึงถนนเส้น 304 แล้วก็วกรถกลับมา
และแล้วเราก็มาถึงทางเข้าเขาแผงม้า ตรงนี้จะเป็นจุดที่ดูฝูงกระทิงป่า จะมีโอกาสเห็นฝูงกระทิงได้ในตอนเย็น จุดนี้สามารถว่าจ้างรถขึ้นไปบนเขาได้ ผมเดินไปดูทาง ทางจะเป็นลูกรัง แม่ค้าตรงนั้นบอกว่าจะชันช่วง 200 เมตรแรกหลังจากนั้นก็ไปได้อย่างไม่ลำบาก สามารถนำรถเก๋งขึ้นไปได้ แต่ผมเห็นทางขึ้นไปแล้วต้องขอยอมแพ้ เพราะเป็นทางแบบเลนเดียว ถนนลูกรัง ขึ้นแล้วเปลี่ยนใจกลับมาไม่ได้เกิดฝนตกขึ้นมาคงจะลำบาก เลยขอบายดีกว่า สำหรับกะบะไม่ว่าจะขับ 2 หรือขับ 4 ขึ้นได้สบายมาก
ทริปนี้ไม่ได้เน้นเรื่องเที่ยวเท่าไหร่ ได้มาเจอเพื่อนมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในระยะเวลา 2 ชั่วโมงเศษจากกรุงเทพฯ ก็ถือว่าคุ้มแล้วละครับ ผมขับรถมุ่งหน้าไปที่ปากช่องต่อ เจอไร่ธันยพร ซึ่งจะปลูกแต่องุ่นเป็นส่วนมาก แต่ช่วงนี้คงยังไม่ใช่ฤดูกาล เราเลยไม่พบองุ่น ไร่นี่อยู่บนเนินเขา ถ้าขึ้นไปด้านบนแล้วมองลงมาจะเห็นวิวสวยๆของวังน้ำเขียว
เราขึ้นไปชมวิว ถ่ายรูป แล้วก็เดินทางออกจากไร่ จุดหมายปลายทางต่อไปคือ อ.ช.เขาใหญ่ (คลองปลากั้ง) จุดนี้ก็เป็นจุดส่องสัตว์อีกจุดหนึ่ง พวกกวาง กระทิง นี่จะมีเยอะหน่อยครับ เมื่อเข้าไปในอุทยานฯ แล้วก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ เขียนใบเพื่อเข้าไปเดินป่า ต้องมีเจ้าหน้าที่คอยนำทางให้นะครับ เพราะจะหลงเอาได้ได้
เราเดินตามเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าสู่ผืนป่า เจ้าหน้าที่เล่าว่าผืนป่าแห่งนี้เดิมชาวบ้านมาบุกรุกทำที่ทำกิน แล้วต่อมาประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ จึงได้ย้ายชาวบ้านออกจากผืนป่า แล้วปลูกป่าขึ้นมาใหม่ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีมากกว่าจะได้ป่ากลับคืนมา เห็นรอยเล็บที่ต้นไม้รูปด้านล่างไหมครับ เจ้าหน้าที่บอกเป็นรอยเล็บของหมีควายที่ปืนต้นไม้ ด้านขวาล่างจะเป็นพี่เจ้าหน้าที่ที่พาพวกเราเดินป่า ต้องขอบคุณอีกครั้งครับที่พาเดินป่าพร้อมบรรยายความรู้
ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นไปอีกเมื่อพี่เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่มีไม้กฤษณาไม้หอมหายากอยู่ด้วย ซึ่งเป็นไม้ที่มีราคาแพงมากกิโลละเป็นแสนบาท จะมีคนมาลักลอบตัดไปขายอยู่เสมอ ด้านล่างซ้ายจะเป็นต้นกฤษณาที่ยังเล็กอยู่คาดว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนปลูกเอง ด้านล่างขวาจะเป็นต้นที่โตแล้ว
อันนี้ลูกอะไรไม่ทราบครับ แปลกดี เจ้าหน้าที่ชี้ให้ถ่ายรูป
ดอกกระเจียวสีขาวก็มีครับ ไม่ต้องไปถึงชัยภูมิ ตอนนี้เริ่มเหนื่อยกันแล้วครับป่าตรงนี้จะไม่เหมือนบนเขาใหญ่ บนเข้าใหญ่จะชื้นๆและมีไอเย็น หน้าฝนแบบนี้ไม่เจอทากนะครับ ถ้าเป็นเขาใหญ่ด้านบนนี่คิดว่าคงมีเพียบ
รูปด้านบนจะเป็นไม้หอมอีกชนิดนึงจะมีกลิ่นเหมือนกระเพรา ในรูปต้นไม้นี่ตายแล้วเนื่องจากโดนไฟไหม้ การเขียนป้ายบอกว่าเป็นต้นอะไรทำให้คนอยากรู้อยากเห็น จนต้องไปสับไม้มาดม ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับวิธีนี้ ไปเที่ยวธรรมชาติ อย่าไปเอาอะไรกลับมาเลยเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูจะดีกว่า
ตอนนี้เราเริ่มออกจากป่ารกแล้วละครับ เจ้าหน้าที่นำทางให้ไปดูโป่งเทียม โป่งจะเป็นดินชนิดหนึ่งครับมีแร่ธาตุ สัตว์ป่าจะมากินแร่ธาตุพวกนี้ ส่วนการทำโป่งเทียม ทำไม่ยากครับ เค้าใช้วิธีโรยเกลือแล้วกลบลงไปในดิน
ในรูปด้านล่างจะเป็นโป่ง จะเห็นรอยเท้ากวาง, กระทิง, หมาในมากินดินโป่ง ถ้ามาส่องสัตว์ตอนกลางคืนก็จะเห็นครับ
เราเดินป่ามาได้ชัวโมงนึงได้ครับจากจุดนี้ถ้าใครต้องการไปส่องสัตว์ ดูกระทิงก็สามารถไปดูได้เลยครับ แต่ผมไม่ได้ไปดู เราจึงเดินทางกลับ
คะแนน Vote : 52
คะแนน คุณสามารถ Vote ให้กับบทความนี้ [ คลิก
]
|